หัวข้อ   “ 5 เดือนรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ กับนโยบายพลังงาน ”
 
นักเศรษฐศาสตร์ 62.5% ประเมินผลงานด้านพลังงานของรัฐบาลพบอยู่ในระดับ
“แย่ถึงแย่มาก”

80.6% เชื่อมีโอกาสมากที่การปรับราคาพลังงาน รอบนี้จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อ
ระลอกใหม่
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
 
                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็น
นักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 32 แห่ง จำนวน 72 คน “5 เดือนรัฐบาลนางสาว
ยิ่งลักษณ์ กับนโยบายพลังงาน
” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 17 – 24 ม.ค. ที่ผ่านมา
พบว่า
 
                 นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 66.7 เห็นว่าตลาดน้ำมัน
สำเร็จรูปของไทยในปัจจุบันยังคงเป็นตลาดผู้ขายน้อยราย (oligopoly)
  แต่ก็มี
นักเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยคิดเป็นร้อยละ 22.2 เชื่อว่าเป็นตลาดผูกขาด (monopoly)
ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้บัญญัติไว้   เมื่อสอบถามถึงความ
เป็นธรรมในระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในปัจจุบันที่มีต่อผู้บริโภค
นักเศรษฐศาสตร์ ร้อยละ 44.4 เห็นว่าไม่เป็นธรรม   โดยให้เหตุผลที่สำคัญว่า ผู้บริโภคไม่ทราบที่มาที่ไปอย่างชัดเจน
ในการปรับขึ้นราคาน้ำมันแต่ละครั้ง   อีกทั้งยังสังเกตเห็นว่าช่วงที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นก็จะขึ้นเร็วแต่หากปรับราคาลงก็จะปรับช้า
หรือปรับขึ้นครั้งละ 60 สตางค์ต่อลิตร แต่ปรับลงแค่ 50 สตางค์ต่อลิตร   ทำให้สามารถสรุปได้ว่าการบิดเบือนราคายังคงมีอยู่
ขณะที่ร้อยละ 23.6 เชื่อว่าระบบการปรับราคาดังกล่าวมีความเป็นธรรม
 
                 เมื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV เพื่อให้สอดคล้องกับกลไกตลาดและต้นทุน
ที่แท้จริง   นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ร้อยละ 66.7 ระบุว่า “เห็นด้วย” ในจำนวนนี้ร้อยละ 50.0 ยัง เห็นด้วยกับ
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 54 ที่ให้ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม
ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. ถึง ธ.ค. 55
  ขณะที่ร้อยละ 23.6 ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV   อย่างไรก็ตาม
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 41.7 เชื่อว่านโยบายการปรับราคาก๊าซ NGV ของกระทรวงพลังงานดังกล่าวมุ่งสนอง
เป้าหมายเพื่อภาคธุรกิจเป็นหลัก
  รองลงมาร้อยละ 33.3 เชื่อว่ามุ่งให้เกิดความเป็นธรรมทั้งภาคธุรกิจกับผู้บริโภค
 
                 นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้มีการประเมินผลการดำเนินนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 62.5 เห็นว่ามีผลงานอยู่ในระดับแย่ถึง
แย่มาก
  มีเพียงร้อยละ 13.9 เท่านั้นที่เห็นว่ามีผลงานอยู่ในระดับดี
 
                 ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์มากถึงร้อยละ 80.6 เชื่อว่ามีโอกาสมากที่การปรับราคาพลังงาน (น้ำมัน
สำเร็จรูป ก๊าซ NGV และ LPG) จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อระลอกใหม
 
                 โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้
 
             1. ตลาดน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในปัจจุบันเป็นตลาดประเภทใด(จัดตามลักษณะการแข่งขัน)

 
ร้อยละ
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (perfect competitive market) ซึ่งเป็นตลาดที่มี
ผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก
0.0
ตลาดผูกขาด (monopoly) ตลาดที่มีผู้ขายอยู่เพียงคนเดียว ทำให้ผู้ขาย
มีอิทธิพลเหนือราคาและปริมาณสินค้า อย่างสมบูรณ์ในการที่จะเพิ่มหรือ
ลดราคาและควบคุมจำนวนขายทั้งหมด (total supply) ได้ตามต้องการ
22.2
ตลาดผู้ขายน้อยราย (oligopoly) ตลาดประเภทนี้จะมีผู้ขายเพียง
ไม่กี่ราย และผู้ขายแต่ละรายจะขายสินค้าเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบ
กับปริมาณสินค้าทั้งหมดในตลาด ถ้าหากว่าผู้ขายรายใดเปลี่ยน
ราคาหรือนโยบายการผลิตและการขายแล้วก็จะกระทบกระเทือน
ต่อผู้ผลิตรายอื่น ๆ
66.7
ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (monopolistic competition) ตลาดประเภท
นี้มีลักษณะที่สำคัญ คือ มีผู้ซื้อและผู้ขายเป็นจำนวนมาก และทั้งผู้ซื้อและ
ผู้ขายต่างมีอิสระเต็มที่ในการที่จะวางนโยบายการขายและการซื้อของตน
โดยไม่กระทบกระเทือนคนอื่น
4.2
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
6.9
 
 
             2. ระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในปัจจุบันเป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือไม่

 
ร้อยละ
เป็นธรรม เพราะ
       ราคามีการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับกลไกตลาดและต้นทุนที่แท้จริง
ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการบริโภคน้ำมัน
23.6
ไม่เป็นธรรม เพราะ
       1. ผู้บริโภคไม่ทราบที่มาที่ไปอย่างชัดเจนในการปรับขึ้นราคาน้ำมัน
แต่ละครั้ง อีกทั้งยังสังเกตเห็นว่าช่วงที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นก็จะขึ้นเร็วแต่หาก
ปรับราคาลงก็จะปรับช้า หรือปรับขึ้นครั้งละ 60 สตางค์ต่อลิตร แต่ปรับลง
แค่ 50 สตางค์ต่อลิตร ทำให้สามารถสรุปได้ว่าการบิดเบือนราคายังคงมีอยู่
แม้จะอ้างว่าปรับตามราคาน้ำมันตลาดโลก
       2. ปัจจุบันราคาน้ำมันไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเสรีอย่างแท้จริง เพราะ
ภาครัฐยังอุดหนุนดีเซล มีการเก็บภาษีหลายประเภท เป็นต้น
       3. ราคาน้ำมันปัจจุบันไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง การอิงราคาน้ำมัน
ตามตลาดสิงคโปร์ก็ไม่มีตัวบ่งชี้ว่าถูกต้องหรือเป็นธรรมหรือไม่ ทำให้ผล
ประโยชน์ตกแก่คนบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้ประกอบการน้ำมัน
44.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
32.0
 
 
             3. การเห็นด้วยเกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV เพื่อให้สอดคล้องกับกลไกตลาดและต้นทุน
                 ที่แท้จริง(ตามที่ ปตท. และรัฐบาลกล่าวอ้าง)

 
ร้อยละ
เห็นด้วย
       (ถ้าเห็นด้วย) ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
4 ต.ค. 54 ที่ให้ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ
0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค ถึง ธ.ค. 55
       เห็นด้วย
ร้อยละ 50.0
       ไม่เห็นด้วย
ร้อยละ 6.9
       ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
ร้อยละ 9.8
66.7
ไม่เห็นด้วย เนื่องจาก
       1. รัฐบาลเคยสนับให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ NGV แต่กลับมีการปรับ
เปลี่ยนนโยบายส่งผลต่อการลงทุน
       2. รัฐบาลไม่สามารถอธิบายต้นทุนที่แท้จริงได้ประกอบกับไทยมี
แหล่งก๊าซธรรมชาติค่อนข้างมากต้นทุนจึงไม่น่าจะสูง เป็นเหตุทำให้มี
ความสงสัยและคำถามเกิดขึ้น
       3. รัฐบาลสนองประโยชน์ให้ปตท. เป็นเหตุให้ประชาชนต้อง
เดือนร้อน ข้าวของแพง
23.6
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
9.7
 
 
             4. นโยบายการปรับราคาก๊าซ NGV ของกระทรวงพลังงาน มุ่งสนองเป้าหมายใดเป็นหลัก

 
ร้อยละ
มุ่งให้เกิดความเป็นธรรมทั้งภาคธุรกิจ(ปตท.) กับผู้บริโภค
33.3
มุ่งสนองความต้องการของผู้บริโภค(ประชาชน) เป็นหลัก
1.4
มุ่งสนองภาคธุรกิจ (ปตท.) เป็นหลัก
41.7
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
23.6
 
 
             5. การดำเนินนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา
                 มีผลงานอยู่ในระดับใด

 
ร้อยละ
ดีมาก
0.0
ดี
13.9
แย่
41.7
แย่มาก
20.8
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
23.6
 
 
             6. มีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่การปรับราคาพลังงาน (น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซ NGV และ LPG)
                 จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อระลอกใหม่

 
ร้อยละ
มีโอกาสมาก
80.6
มีโอกาสน้อย
13.9
ไม่มีโอกาสเลย
0.0
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
5.5
 

** หมายเหตุ:  รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้   เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                     นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์:
                  1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ
                      โดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
                  2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิด
                      ประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
 
กลุ่มตัวอย่าง:

                        เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์
               (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง
               จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถ
               ด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจ
               ระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 32 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการ
               พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง   สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
               สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร   สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์   สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา
               ประเทศไทย (TDRI)   มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย   ตลาดหลักทรัพย์
               แห่งประเทศไทย   ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย   ธนาคารกรุงไทย   ธนาคาร
               กรุงศรีอยุธยา  ธนาคารนครหลวงไทย   ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย   ธนาคารทหารไทย   ธนาคารไทยพาณิชย์
               ธนาคารธนชาต   บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ   บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน   บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส
               บริษัทหลักทรัพย์ภัทร   บริษัททริสเรตติ้ง   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ  สำนักวิชาการ
               จัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์  คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   คณะวิทยาการจัดการ
               มหาวิทยาลัยขอนแก่น   คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร   คณะเศรษฐศาสตร์
               มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์
               และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ   และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำ
               ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายใน
ระยะเวลาที่กำหนด
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล:  17 - 24 มกราคม 2555
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 25 มกราคม 2555
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่:    
             หน่วยงานภาครัฐ
26
36.1
             หน่วยงานภาคเอกชน
28
38.9
             สถาบันการศึกษา
18
25.0
รวม
72
100.0
เพศ:    
             ชาย
38
52.8
             หญิง
34
47.2
รวม
72
100.0
อายุ:
 
 
             26 – 35 ปี
30
41.6
             36 – 45 ปี
21
29.2
             46 ปีขึ้นไป
21
29.2
รวม
72
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปริญญาตรี
2
2.8
             ปริญญาโท
52
72.2
             ปริญญาเอก
18
25.0
รวม
72
100.0
ประสบการณ์ทำงาน:
 
 
             1 - 5 ปี
17
23.6
             6 - 10 ปี
20
27.8
             11 - 15 ปี
10
13.9
             16 - 20 ปี
9
12.5
             ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
16
22.2
รวม
72
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776